Post by

Gawyn ⚡

การปฏิวัติการรับรู้ จากแท่นพิมพ์ สู่ Nostr

Published on

yakihonne.com

Oct 23, 2023

ทุกการปฏิวัติสำคัญๆ ของมนุษย์ ล้วนเปลี่ยนวิธีชีวิตของเราไปตลอดกาล เราปฏิวัติเกษตรกรรม และเริ่มตั้งถิ่นฐานแทนการล่าสัตว์ เราปฏิวัติอุตสาหกรรม และเข้าสู่เศรฐกิจทุนนิยม เราปฏิวัติการรับรู้ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า เพราะการตื่นรู้ของประชาชน จะทำให้อำนาจในการควบคุมหมดไป พวกเขาเหล่านั้นจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะจำกัดการรับรู้ของเราให้ได้มากที่สุด...

หลังจากที่ยุโรปอยู่ในยุคมืดมานานเกือบพันปี เมื่อกรุงคอนแสตนติโนเปิล (Constantinople) แห่งอาณาจักรโรมันตะวันออกถูกยึดครองโดยชาวเติร์ก องค์ความรู้โบราณตั้งแต่สมัยโรมัน เอกสาร หนังสือ นักปราชญ์ เกิดการอพยพย้ายถิ่นฐานกลับสู่ยุโรปตะวันตก และ เป็นจุดกำเนิดของยุคใหม่

การปฏิวัติการรับรู้ครั้งที่ 1 แท่นพิมพ์กูเตนเบิร์ก และ ยุคฟื้นฟูศิลปะวัฒนธรรม

image

ทศวรรษที่ 1450 โยฮันเนส กูเตนเบิร์ก ได้สร้างสิ่งประดิษฐ์ที่เปลี่ยนการรับรู้ของมนุษย์ในยุคนั้นโดยสิ้นเชิง ซึ่งก็คือ แท่นพิมพ์

ก่อนหน้านี้ องค์ความรู้ถูกจำกัดโดย โบถส์ และ ชนชั้นสูง เท่านั้น โดยโบถส์จะมีอำนาจในการชี้ขาดว่าข้อมูลใดๆ เป็นสิ่งที่จริง หรือ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะถือว่าพวกตนได้รับอาณัติจากพระเจ้า และคำสอนในคัมภีรย์ถึงเป็นสิ่งที่ขัดแย้งไม่ได้


การผูกขาดความจริงนี้ เป็นผลให้ยุโรปอยู่ในยุคมืดมาตั้งแต่อาณาจักรโรมันตะวันตกล่มสลาย (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 5) ยาวนานมากว่า 900 ปี เพราะการเห็นแย้งกับคัมภีรย์เป็นเรื่องที่ผิด เช่น การจะกล่าวว่า โลกไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาล หรือ การทดลองผ่าศพเพื่อศึกษา Anatomy อาจจะทำให้คุณโดยแขวนคอ หรือถูกจับเผาข้อหาเป็นแม่มด



หนังสือเป็นสิ่งหายาก ราคาแพง เพราะต้องคัดเขียนด้วยมือ หน้าต่อหน้า เล่มต่อเล่ม ดังนั้นการที่กูเตนเบิร์กผลิตแท่นพิมพ์ออกมาได้ จึงส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อสังคมในสมัยนั้น

หนังสือยุคแรกที่พิมพ์ คือ ไบเบิล จากที่ก่อนหน้านี้ คนทั่วไปไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในไบเบิลจริงๆ แล้วเนื้อหาเป็นอย่างไร เพราะส่วนใหญ่เขียนด้วยภาษาละติน ซึ่งก็จะมีแต่นักบวชและชนชั้นสูงที่อ่านได้ พวกเขาแค่ฟังตามที่บาทหลวงบอกต่อมาเท่านั้น แต่หลังจากไบเบิลเริ่มพิมพ์กลายเป็นว่าพวกเขาเริ่มรู้แล้วว่า บางเรื่องโบถส์ก็โกหกนี่หว่า..


FYI : หนังสือ มีส่วนช่วยให้เกิดสำนึกการเป็นคนชาติเดียวกัน เพราะก่อนหน้านั้นที่แต่ละพื้นถิ่นจะพูดภาษาที่มีสำเนียงหรือแสลงต่างกัน แต่หนังสือในยุคแรกพิมพ์เป็นภาษากลาง จึงทำให้ไบเบิลที่ถูกพิมพ์เป็นภาษาเยอรมัน สร้างการรับรู้ภาษากลางไปทั่วภูมิภาค เช่นเดียวกับอังกฤษที่สร้างรูปแบบภาษากลางผ่านการตีพิมพ์หนังสือของ Shakespeare






หลังจากแท่นพิมพ์เริ่ม Mass และการผลิตหนังสือเริ่มมีหลากหลาย องค์ความรู้ได้กระจายออกไปสู่ทุกหัวเมือง คนทั่วไปสามารถเข้าถึงความรู้และพัฒนาทักษะขั้นสูงขึ้นได้นำไปสู่ยุคฟื้นฟูศิลปะวัฒนธรรม (Renaissance) ที่ว่ากันว่าเป็นยุคทองของอารยธรรมมนุษย์

สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าอำนาจในการชี้ว่าสิ่งใดคือความจริง ไม่ถูก Decentralized ออกมาจากโบถส์ สู่ทุกที่ที่เข้าถึงหนังสือ (และแน่นอน ถ้าไม่มีเงินที่ดีเช่นทองคำ)






การปฏิวัติการรับรู้ครั้งที่ 2 อินเทอร์เน็ต ทำลายการผูกขาดความจริงจากรัฐชาติสมัยใหม่ สู่การเซนเซอร์ที่แยบยลกว่าเดิม

image

การเกิดขึ้นของรัฐชาติสมัยใหม่หลังปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้มีแนวคิดเรื่องชาตินิยมเกิดขึ้นทั่วโลก ผู้มีอำนาจปกครองในแต่ละพื้นที่เริ่มขีดเส้นเขตแดน และจำกัดการเข้าออกของประชากรด้วยพาสปอร์ต เพื่อควบคุมปริมาณของทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในประเทศซึ่งก็คือ มนุษย์

รัฐชาติสมัยใหม่จำเป็นต้องสร้างค่านิยม และสำนึกในความเป็น “ชาติ” โดยที่จริงๆแล้ว “ชาติ” เป็นสิ่งสมมุติขึ้น และไม่ได้มีอยู่จริง จับต้องไม่ได้ จึงต้องใช้สื่อต่างๆ ตั้งแต่ใบปลิว หนังสือพิมพ์ จนมาเป็นวิทยุ โทรทัศน์ เพื่อทำ Propaganda รณรงค์ค่านิยมเหล่านี้ และโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เนื้อหาข่าวสารรายวันก็จะล้วนซ่อน Agenda ที่เหล่าผู้ปกครองชาติต้องการไว้อยู่เสมอ

การควบคุมเสรีภาพสื่อได้อย่างค่อนข้างเบ็ดเสร็จ ย่อมสามารถควบคุมความคิดของประชาชนส่วนใหญ่ในชาติไว้ได้ จนกระทั่งการมาถึงของอินเทอร์เน็ต...



แม้ในช่วงแรก เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตจะถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในกองทัพอเมริกา (ทศวรรษ 1960-1980) แต่ต่อมาได้มีการพัฒนาโปรโตคอล TCP/IP ซึ่งถือเป็นมาตรฐานสำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ต่างๆ ทำให้เกิด Mass adoption ขึ้น ส่งผลให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลมหาศาลได้อย่างที่ไม่ค่อยมีมาก่อน



อินเทอร์เน็ตทำลายเขตแดนของความรู้ที่สื่อแบบเดิมทำไม่ได้ ข้อมูลมากกว่าที่เคยมีขณะนี้ลอยอยู่ในอากาศ การเซ็นเซอร์ภายในรัฐเผด็จการผ่านทีวีและสือสิ่งพิมพ์เริ่มทำได้ยากยิ่งขึ้น จนทำไม่ได้ในที่สุด (ถ้าไม่ได้แทรการเข้าถึงแบบจีน หรือ เกาหลีเหนือ) 



อีกทั้งอินเทอร์เน็ตยังทำให้เกิดความรู้สึกร่วมของประชากรโลก ว่าพวกเขาล้วนเป็น World Citizen , คนไทยแสดงความเห็นอกเห็นใจผู้ประสบภัยซึนามิที่ญี่ปุ่น ขณะที่คนอินโดนีเซียก็แสดงความโศกเศร้าอาลัยกับความรุนแรงในฉนวนกาซ่า


ต่อไปนี้มนุษย์โลกจะเป็นอิสระเสรีต่อการความคุมความคิดแล้ว ! ...

เปล่าเลย พวกเขาตอนนี้ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าโดนหลอกอยู่แทบทุกขณะเวลาบนโลกไซเบอร์ ...


การให้บริการบนอินเทอร์เน็ตของ Big tech สามารถกุมอำนาจการชี้ขาดความจริงไว้ได้เยอะอย่างไม่น่าเชื่อ...

ยกตัวอย่าง Search engine เช่น Google ด้วยปริมาณการใช้งาน Search engine ที่กว่า 8,000 ล้านครั้งต่อวัน ซึ่งนับว่ามากกว่าครึ่งของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลก พวกเขาจะได้รับข้อมูลผ่าน “ตัวกรอง” ของ Google ว่าข้อมูลไหนจริงที่สุด จะอยู่ในหน้าแรกของการเสิร์จ ขณะที่ข้อมูลไม่พึงประสงค์อาจจะปรากฏในหน้าหลังๆ หรือไม่ปรากฏขึ้นมาเลยก็ได้



ขณะที่ Social media อย่าง Facebook ที่มีผู้ใช้เกือบ 3,000 ล้านคน (คิดเป็นกว่า 30% ของประชากรโลก) ยิ่งแล้วใหญ่ เมื่อเลือกจะโชว์ข้อความใน New feed ของคุณด้วย Algorithm ที่คิดมาโดยเหล่า Engineer ชั้นนำระดับหัวกะทิ เพื่อให้คนใช้เวลากับมันให้นานที่สุด ไม่ว่าจะมีเนื้อหาไร้สาระแค่ไหนก็ตาม ขณะเดียวกันก็เซนเซอร์ความคิดเห็นที่ไม่พึงประสงค์ เช่น การกล่าวหาว่าร้ายอิสราเอลว่าเป็นอาชญากรสงคราม หรือ พูดถึง Military industrail complex ที่ถูก funding โดยรัฐบาลสหรัฐ...



รวมถึง Large language model ที่คน Hype กันทั้งโลกอย่าง A.I. ชื่อดัง ChatGPT หรือ Bard ที่เซนเซอร์สารพัดข้อมูลในนามของศีลธรรม ทั้งที่จริงๆแล้ว บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้สร้างมันขึ้นมาถือกุญแจเปิดกล่องแพนโดร่านี้ไว้กับตัว และเปิดงานมันเมื่อไหร่ ในแบบใดก็ได้ 



ถ้าอินเทอร์เน็ตที่เคยเป็นความหวังของมนุษย์ผู้รักอิสรภาพ กลับเป็นเพียงแค่เสือกระดาษ ที่ไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง

อินเทอร์เน็ตในยุคนี้ที่ ข้อมูล เครือข่าย ถูกรวมศูนย์ไปหมดแล้ว เราจะต้องกลับไปสื่อสารผ่านสภากาแฟหน้าปากซอยบ้านเหมือนเดิมเท่านั้นหรือ ??




การปฏิวัติการรับรู้ครั้งที่ 3 Bitcoin และ Nostr เมื่อข้อมูลไม่อาจถูกหยุดยั้งแทรกแซงได้อีกต่อไป

image

“the times 03/jan/2009 chancellor on brink of second bailout for banks”

ข้อความจากพาดหัวหนังสือพิมพ์ TIMES ในเช้าวันเสาร์ที่ 3 มกราคม ปี 2009 ถูกฝังไว้ใน Bitcoin genesis block เพื่อยืนยันว่าบิทคอยน์บล็อกแรกถูกขุดขึ้นมา วันนั้นจริงๆ
ขณะเดียวกัน ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า อะไรก็ตามที่ถูกเขียนไว้บนบิทคอยน์บล็อกเชนนั้นจะคงอยู่ตลอดไป



ในเมื่อเงินคือการสื่อสารในระบบเศรษฐกิจ เพราะเงินคือภาษาสากลในการบ่งบอกว่าสินค้าและบริการนั้นๆ มีคุณค่าแค่ไหน การเกิดขึ้นของบิทคอยน์ที่เป็น Digital native money จึงเปลี่ยนฉากทัศน์ของทุกสิ่งไปตลอดกาล เพราะนอกจากจะทำลายกำแพงการสื่อสารคุณค่าของสรรพสิ่ง แต่ด้วยความที่มันเป็น Open source protocol เช่นเดียวกับอินเทอร์เน็ต ทำให้ Developer ทั่วโลกสามารถร่วมพัฒนามันได้อยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเกิดเป็น Lightning และ Nostr...


FYI : fiatjaf นักพัฒนานิรนามสร้าง สร้าง Nostr เวอร์ชั่นแรกเมื่อปี 2020 และด้วยความเป็น Open source protocol จึงทำให้มีผู้ร่วมเข้ามาพัฒนามากมายจนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน

การพูดคุยโดยไม่มีเซนเซอร์ การสื่อสารที่หยุดยั้งไม่ได้ ขณะที่เราเป็นเจ้าของข้อมูลของเราได้เองจริงๆ แล้วยังส่งมูลค่าให้กันได้ทันทีที่ถูกใจ

ศาลาประชาคมออนไลน์ , truly decentralized , zero censored platform จำเป็นสำหรับอารยธรรมนุษย์ เพื่อถกเถียงพูดคุยใน literally “ทุกเรื่อง”


ไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย ไม่โลกสวย ไม่ห้ามพูดเรื่องเปราะบาง เพราะเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออก สำคัญไม่ต่างกับเสรีภาพของเงิน

Nostr ทุกวันนี้มันยังอยู่แค่ในยุคเริ่มต้น ปริมาณผู้ใช้งานเทียบไม่ติดกับ Platform อื่นๆ แต่ทุกคนที่ได้สัมผัสกับมันเริ่มรู้แล้วล่ะ ว่านี้มันเกินกว่า Social media ไปมาก


สิ่งนี่สร้างสังคม Value for Value กล่าวคือ ผู้คนตั้งใจจะสื่อสารถึงกันอย่างจริงจัง จริงใจ และตั้งใจจะอยู่ในสังคมที่มีเหตุผล ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีกฏเกณฑ์ใดๆ หรือ ใครที่จะมีแบนคุณได้

.

ถ้าบอกว่าบิทคอยน์คือทางออกของทุกปัญหา ที่แอบซ่อนมาในรูปแบบของสแกม Nostr อาจจะเป็นการปฏิวัติการรับรู้ครั้งใหม่ ที่แอบซ่อนมาในรูปแบบ Social media...

0

0
0
0