Post by

jah99

เพลง Jazz สะท้อนความสมบูรณ์แบบสำหรับโลก

Published on

31990:20986fb83e775d96d188ca5c9df10ce6d613e0eb7e5768a0f0b12b37cdac21b3:1700732875747

Aug 21, 2024

image

      ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความไม่แน่นอน เราต่างแสวงหาความสมบูรณ์แบบในชีวิต แต่บางครั้งเราอาจมองข้ามบทเรียนอันล้ำค่าที่แฝงอยู่ในสิ่งที่เราสัมผัสได้ทุกวัน นั่นคือ ดนตรี เสียงเพลงไม่เพียงแต่สร้างความบันเทิงและปลอบประโลมจิตใจเท่านั้น แต่ยังเป็นแบบจำลองของโลกที่สมบูรณ์แบบที่เราใฝ่ฝัน เสียงของโน้ตแต่ละตัวนอกจากส่งเสียงแล้ว ยังมีพลังในการสื่อสารอารมณ์ความรู้สึกอย่างลึกซึ้ง เมื่อโน้ตเหล่านี้ผสานกัน พวกมันสร้างความสอดประสานที่ทำให้เราคล้อยตามไปกับอารมณ์ต่าง ไม่ว่าจะเป็นความสุขใจ ความเศร้า ความร่าเริง หรือความแจ่มใส ดนตรีจึงไม่เพียงแต่เป็นเสียงที่ไพเราะ แต่ยังเป็นภาษาสากลที่สื่อสารกับจิตวิญญาณของเราได้อย่างไร้พรมแดน

     ลองจินตนาการถึงคำกล่าวที่ว่า "อยากให้โลกนี้มีความสมบูรณ์แบบเหมือนกับเสียงโน้ตที่อยู่ในดนตรี" เราจะพบว่าดนตรีไม่เพียงแต่เป็นศิลปะ แต่ยังเป็นครูที่สอนเราถึงการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราพิจารณาเพลงแจ๊ส (jazz) ซึ่งเป็นรูปแบบดนตรีที่สะท้อนความสมบูรณ์แบบของการทำงานร่วมกันได้อย่างชัดเจน ในวงแจ๊ส แต่ละเครื่องดนตรีมีบทบาทที่เป็นเอกลักษณ์ เช่นเดียวกับบุคคลในสังคม

  1. เปียโนหรือกีตาร์วางพื้นฐานคอร์ด เปรียบเสมือนโครงสร้างพื้นฐานของสังคม
  2. กลองและเบสสร้างจังหวะ เหมือนกับกฎระเบียบที่ทำให้สังคมดำเนินไปอย่างเป็นระบบ
  3. เครื่องเป่าต่าง ๆ เช่น แซกโซโฟน (Saxophone) หรือทรัมเป็ต (Trumpet) ทำหน้าที่บรรเลงทำนองหลักหรือสอดประสานเป็นเสียงคอร์ด (Chord) เพื่อสร้างสีสันของเสียงดนตรี เปรียบได้กับผู้นำในสังคมหรือผู้มีความคิดที่แตกต่าง ซึ่งอาจมีมุมมองที่หลากหลายแต่ยังคงเคารพซึ่งกันและกันในบทบาทของตน

image

    สิ่งที่น่าสนใจในเพลงแจ๊สคือการด้นสด (improvisation) ซึ่งเป็นช่วงที่นักดนตรีแต่ละคนได้แสดงความสามารถของตนอย่างอิสระ แต่ยังคงอยู่ในกรอบของบทเพลง นี่คือบทเรียนสำคัญสำหรับสังคม เราควรให้พื้นที่แก่ความคิดสร้างสรรค์และการแสดงออกของแต่ละบุคคล แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาความกลมกลืนของส่วนรวม
ในช่วงการด้นสด นักดนตรีคนอื่น จะลดบทบาทของตนลง เพื่อให้ผู้ด้นสดได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ แต่ยังคงคอยสนับสนุนด้วยการเล่นประกอบอย่างแผ่วเบา (comping) นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการรู้จักถอยเพื่อให้ผู้อื่นได้มีโอกาส แต่ยังคงพร้อมที่จะสนับสนุน
นอกจากนี้ ในเพลงแจ๊สยังมีการใช้ "tension" และ "release" ซึ่งเป็นการสร้างความตึงเครียดทางดนตรีแล้วคลี่คลายลง เช่น การใช้คอร์ดที่ไม่คุ้นหูแล้วกลับมาสู่คอร์ดหลัก สิ่งนี้สอนเราว่าในสังคม ความขัดแย้งหรือความท้าทายอาจเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อเราร่วมมือกันแก้ไข เราก็จะสามารถกลับสู่ความกลมกลืนได้

    ที่สำคัญที่สุด เพลงแจ๊สสอนเราเรื่องการฟังและการตอบสนอง นักดนตรีแจ๊สต้องฟังกันและกันอย่างตั้งใจ พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนการเล่นของตนให้เข้ากับผู้อื่น บางครั้งอาจมีการ "call and response" คือการโต้ตอบทางดนตรีระหว่างนักดนตรี ซึ่งเป็นเสมือนการสนทนาที่สร้างสรรค์ในสังคม

    เมื่อเราพิจารณาโลกผ่านเลนส์ของดนตรี เราจะเห็นว่าความสมบูรณ์แบบที่เราแสวงหานั้นไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม ดนตรีสอนเราว่าความงดงามเกิดจากการผสมผสานของสิ่งที่แตกต่าง การทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน และการเคารพในบทบาทของแต่ละคน

    หากเราสามารถนำบทเรียนเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ในการทำงาน และในการอยู่ร่วมกันในสังคม เราก็จะสามารถสร้างโลกที่ใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบของบทเพลงได้มากขึ้น

image

    ดังนั้น ในครั้งต่อไปที่คุณได้ยินเสียงเพลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงแจ๊ส อย่าเพียงแค่ฟังด้วยหู แต่จงฟังด้วยหัวใจ และลองคิดว่าเราจะสร้างชีวิตและสังคมให้เป็นดั่งบทเพลงที่ไพเราะได้อย่างไร ลองนึกถึงว่าโลกของเราจะเป็นอย่างไร หากเราสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนเหมือนนักดนตรีในวงแจ๊ส ทุกคนมีบทบาท มีโอกาสแสดงความสามารถ รู้จักฟังและตอบสนองต่อกัน และร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งที่งดงาม

image

    เพราะในท้ายที่สุด เราทุกคนคือนักดนตรีในวงใหญ่ที่เรียกว่า "โลก" นี้ และเพลงแจ๊สไม่ใช่เพียงดนตรีที่ไพเราะ แต่เป็นแบบจำลองของสังคมในอุดมคติที่เราทุกคนใฝ่ฝันถึง

0

0
0
0